วิธีจดทะเบียนบริษัท 2568 : ทุกขั้นตอน เอกสาร และค่าใช้จ่ายที่ต้องรู้
ทำไมต้องจดทะเบียนบริษัท (ข้อดีเทียบกับบุคคลธรรมดา)
การจดทะเบียนบริษัทจำกัดมีข้อได้เปรียบหลายประการเมื่อเทียบกับการประกอบธุรกิจในฐานะบุคคลธรรมดา ดังนี้
ด้านภาษี
| ประเภท | สิทธิ์ยกเว้นภาษี | อัตราภาษี |
|---|---|---|
| นิติบุคคล | 300,000 บาทแรก | 15% – 20% |
| บุคคลธรรมดา | 150,000 บาทแรก | 5% – 35% |
💡 ข้อดีพิเศษ: หากบริษัทขาดทุน ไม่ต้องเสียภาษีในปีนั้น และสามารถนำยอดขาดทุนมาหักลดหย่อนภาษีในอนาคตได้ถึง 5 ปี
ความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์
- สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า คู่ค้า และนักลงทุน เนื่องจากผ่านการตรวจสอบจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
- มีข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณะ สะท้อนความโปร่งใสและความจริงจังในการดำเนินธุรกิจ
- เพิ่มโอกาสในการได้รับงานใหญ่จากหน่วยงานภาครัฐหรือบริษัทขนาดใหญ่
ความรับผิดชอบแบบจำกัด
- ผู้ถือหุ้นรับผิดชอบเฉพาะจำนวนเงินที่ลงทุนในหุ้นเท่านั้น ทรัพย์สินส่วนตัวได้รับการคุ้มครอง
- ไม่ต้องนำทรัพย์สินส่วนตัวมาชดใช้หนี้สินของบริษัท
- แยกทรัพย์สินส่วนตัวออกจากทรัพย์สินของบริษัทอย่างชัดเจน
การเข้าถึงแหล่งเงินทุน
- สามารถขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ง่ายขึ้น ด้วยข้อมูลทางบัญชีและการเงินที่ชัดเจน
- สามารถระดมทุนโดยการออกหุ้นเพิ่ม หรือรับนักลงทุนใหม่ได้สะดวก
- ได้รับการส่งเสริมและเงินทุนช่วยเหลือจากภาครัฐในกรณีวิกฤติเศรษฐกิจ
ความต่อเนื่องของธุรกิจ
บริษัทมีอายุไม่จำกัด ไม่ผูกติดกับชีวิตของผู้ก่อตั้ง สามารถดำเนินกิจการต่อเนื่องแม้เจ้าของเปลี่ยนแปลง
ขั้นตอนการจองชื่อบริษัท
การจองชื่อบริษัทเป็นขั้นตอนแรกและสำคัญในกระบวนการจดทะเบียนบริษัท โดยมีรายละเอียดดังนี้
หลักเกณฑ์การตั้งชื่อบริษัท
- ต้องขึ้นต้นด้วยคำว่า “บริษัท” และลงท้ายด้วยคำว่า “จำกัด”
- ชื่อต้องไม่ซ้ำหรือคล้ายกับบริษัทที่จดทะเบียนไว้แล้ว
- สามารถยื่นจองได้สูงสุด 3 ชื่อ โดยนายทะเบียนจะพิจารณาตามลำดับ
วิธีการจองชื่อบริษัท
1. จองออนไลน์
ผ่านเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (www.dbd.go.th)
- เข้าสู่ระบบและกรอกข้อมูลที่ต้องการจองชื่อ
- ตรวจสอบชื่อที่ต้องการว่าซ้ำหรือไม่
- ค่าธรรมเนียม: ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
2. จองด้วยตนเอง
ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัด
⏰ ข้อควรทราบ:
- ชื่อที่จองได้จะถูกกันไว้เพียง 30 วัน นับจากวันที่ได้รับการอนุมัติ
- หากเลยกำหนด 30 วันต้องจองใหม่
- ต้องนำชื่อที่จองไปยื่นจดทะเบียนบริษัทให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
การเตรียมข้อมูล (ผู้ก่อตั้ง ทุนจดทะเบียน ที่อยู่ วัตถุประสงค์)
เพื่อให้การจดทะเบียนบริษัทเป็นไปอย่างราบรื่น จำเป็นต้องเตรียมข้อมูลและเอกสารดังนี้
ผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้น
- บริษัทจำกัดต้องมีผู้ถือหุ้นอย่างน้อย 3 คน (หมายเหตุ: ตั้งแต่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 สามารถใช้ผู้ถือหุ้น 2 คนได้)
- เตรียมสำเนาบัตรประชาชนของผู้ถือหุ้นทุกคน
- เตรียมอีเมลและเบอร์โทรศัพท์ของผู้ถือหุ้นทุกคน
- ผู้ถือหุ้นแต่ละคนต้องถือหุ้นอย่างน้อยคนละ 1 หุ้นขึ้นไป
ทุนจดทะเบียน
- กฎหมายไม่ได้กำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ แต่ในทางปฏิบัติมักเริ่มต้นที่ 100,000 – 1,000,000 บาท
- ทุนจดทะเบียนจะส่งผลต่อค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน
- แต่ละหุ้นต้องมีมูลค่าเท่ากัน โดยทั่วไปกำหนดมูลค่าหุ้นละ 100 บาท
ที่อยู่สำนักงาน
- สามารถใช้บ้าน คอนโด ตึกแถว หรืออาคารสำนักงานเป็นที่อยู่บริษัทได้
- สามารถใช้ที่อยู่เดิมที่เคยจดบริษัทไว้แล้วได้อีก (ไม่มีข้อจำกัดจำนวนบริษัท)
- ต้องเตรียม หนังสือยินยอมให้ใช้สถานที่ หากใช้ที่อยู่ของผู้อื่น
- ต้องจัดทำแผนที่ตั้งสำนักงาน
💡 เคล็ดลับ: หากใช้บ้านของกรรมการเป็นสำนักงาน ควรทำสัญญาเช่าและคิดค่าเช่าเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท โดยต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 5%
วัตถุประสงค์ของบริษัท
- ระบุวัตถุประสงค์หลักและรายละเอียดการประกอบธุรกิจ
- ควรระบุวัตถุประสงค์ครอบคลุมธุรกิจที่จะทำทั้งปัจจุบันและอนาคต
- วัตถุประสงค์จะถูกบันทึกในหนังสือบริคณห์สนธิ
เอกสารที่ต้องใช้ทั้งหมด
เอกสารหลักที่ต้องเตรียม
1. บอจ.2 – หนังสือบริคณห์สนธิ
เอกสารที่ผู้เริ่มก่อการจัดทำขึ้นตามกฎหมาย ระบุรายละเอียด:
- ชื่อบริษัท (ภาษาไทยและอังกฤษ)
- จังหวัดที่ตั้งสำนักงาน
- วัตถุประสงค์ของบริษัท
- ทุนจดทะเบียน จำนวนหุ้น และมูลค่าหุ้น
- รายละเอียดและลายเซ็นผู้เริ่มก่อการ
2. บอจ.3 – รายการจดทะเบียนจัดตั้ง
แสดงข้อมูลทุนของบริษัท:
- จำนวนหุ้นทั้งหมด
- จำนวนหุ้นสามัญ/หุ้นบุริมสิทธิ
- จำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว
3. บอจ.5 – สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น
แสดงรายละเอียด:
- ชื่อและเลขทะเบียนบริษัท
- วันที่ลงทะเบียนผู้ถือหุ้น
- มูลค่าทุนจดทะเบียน จำนวนหุ้น
- จำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมด
- ข้อมูลผู้ถือหุ้นแต่ละคน (ชื่อ เลขบัตรประชาชน สัญชาติ อาชีพ ที่อยู่ จำนวนหุ้น)
⚠️ สำคัญ: ต้องนำส่งภายใน 14 วัน หลังจัดประชุมผู้ถือหุ้น สามารถนำส่งผ่านระบบ DBD e-Filing ได้
4. รายงานการประชุม
- รายงานการประชุมจัดตั้งบริษัท
- รายงานการประชุมผู้ถือหุ้น
ต้องระบุวาระสำคัญ:
- การตั้งระเบียบข้อบังคับบริษัท
- การเลือกตั้งคณะกรรมการ
- การกำหนดอำนาจกรรมการ
- การแต่งตั้งผู้สอบบัญชี
5. เอกสารประกอบอื่นๆ
- สำเนาบัตรประชาชนผู้ถือหุ้นและกรรมการทุกคน
- สำเนาทะเบียนบ้านผู้ถือหุ้น
- หนังสือยินยอมให้ใช้สถานที่ตั้งสำนักงาน
- แผนที่ตั้งสำนักงาน
- สัญญาเช่า (หากใช้สถานที่เช่า)
ขั้นตอนการยื่นจดทะเบียน
การจดทะเบียนแบบ Online (e-Registration / DBD Biz Regist)
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้เปิดใช้งานระบบจดทะเบียนนิติบุคคลดิจิทัล DBD Biz Regist อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2568
ขั้นตอนการจดทะเบียนออนไลน์:
1 การสมัครสมาชิก
- เลือก “สมัครสมาชิก”
- กรอกข้อมูลส่วนตัว หรือเข้าสู่ระบบด้วย Digital ID (ThaiD)
- ใช้แอป ThaiD สแกน QR Code เพื่อยืนยันตัวตน
- อ่านและยอมรับเงื่อนไข
2 จองชื่อบริษัท
- กรอกข้อมูลการจองชื่อ
- ชื่อผู้จองต้องเป็นชื่อเดียวกับผู้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท
3 กรอกข้อมูลการจดทะเบียน
- เลือก “จดหนังสือบริคณห์สนธิและจดจัดตั้งบริษัทพร้อมกัน (ภายในวันเดียว)”
- กรอกข้อมูลตามขั้นตอน:
- คำรับรอง: ข้อมูลการจัดประชุม
- รายงาน: รายงานการประชุม (เลือกรูปแบบสำเร็จรูป) + ข้อมูลผู้สอบบัญชี
- แบบ บอจ.2: หนังสือบริคณห์สนธิ
- แบบ บอจ.3: รายการจดทะเบียนจัดตั้ง
- แบบ บอจ.5: บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น
4 ลงนามและชำระเงิน
- ลงนามอิเล็กทรอนิกส์โดยผู้ก่อการและกรรมการ
- ชำระค่าธรรมเนียมผ่านระบบออนไลน์
5 รับเอกสาร
- รับหนังสือรับรองนิติบุคคลในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์
- รับเอกสารสำคัญทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ
การจดทะเบียนแบบ Walk-in
📅 ข่าวสำคัญ: กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ขยายเวลาปิดเคาน์เตอร์ Walk-in จากเดิม 1 กรกฎาคม 2568 เป็น 31 ธันวาคม 2568
ขั้นตอนการยื่นเอกสารแบบ Walk-in:
1 เตรียมเอกสาร
- เอกสารทุกรายการที่กล่าวในหัวข้อก่อนหน้า
- แบบฟอร์มต่างๆ (ดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ DBD)
- ดวงตราบริษัท
2 ยื่นเอกสารด้วยตนเอง
- ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (กรณีอยู่ในกรุงเทพฯ)
- ที่สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต 1-6
- ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัด
3 ชำระค่าธรรมเนียม
- ชำระเงินสด ณ จุดรับเอกสาร
4 รับเอกสาร
- รับใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนและเอกสารอื่นๆ
💡 ข้อมูลเพิ่มเติม: กรมพัฒนาฯ มีการขยายเวลาให้บริการพิเศษในช่วงปลายปี และวันหยุดยาว เช่น ช่วงสงกรานต์ยังเปิดให้บริการออนไลน์ได้ตลอด
ค่าธรรมเนียมราชการทั้งหมด
อัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนบริษัทจำกัด
| รายการ | ค่าธรรมเนียม |
|---|---|
| ค่าจองชื่อบริษัท | ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย |
| การจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ | 500 บาท |
| การจดทะเบียนบริษัทจำกัด (ค่าพื้นฐาน) | 5,000 บาท |
| ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 1 ล้านบาท | 500 บาท |
| การแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือก่อนจัดตั้งบริษัท | 400 บาท |
| ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน (ฉบับเพิ่มเติม) | 100 บาท/ฉบับ |
| การตรวจเอกสารบัญชีผู้ถือหุ้น | 50 บาท/ราย |
ค่าใช้จ่ายสำหรับการจดทะเบียนออนไลน์
| รายการ | ค่าธรรมเนียม |
|---|---|
| ค่าหนังสือรับรองนิติบุคคล (ไฟล์อิเล็กทรอนิกส์) | 200 บาท |
| ค่าจัดส่งเอกสารสำคัญ (ไปรษณีย์ด่วนพิเศษ) | 50 บาท |
ค่าอากรแสตมป์
| ประเภทเอกสาร | อัตราค่าอากร |
|---|---|
| สัญญาเช่า | 1 บาท ต่อทุก 1,000 บาท ของค่าเช่า |
| โอนหุ้น | 1 บาท ต่อทุก 1,000 บาท |
| หนังสือบริคณห์สนธิที่ส่งต่อนายทะเบียน | ตามอัตราที่กำหนด |
ค่าบริการจากสำนักงานบัญชี (ถ้าใช้บริการ)
| บริการ | ค่าบริการโดยประมาณ |
|---|---|
| ค่าดำเนินการจดทะเบียนแทน | 3,000 – 10,000 บาท |
| ค่าที่ปรึกษาด้านเอกสารและภาษี | 2,000 – 5,000 บาท |
| แพ็คเกจจดทะเบียนบริษัทรวม | 9,900 – 15,000 บาท (รวมค่าธรรมเนียมราชการ) |
สรุปค่าใช้จ่ายโดยประมาณสำหรับการจดทะเบียนบริษัททุน 1 ล้านบาท
| วิธีการ | ค่าใช้จ่ายรวม |
|---|---|
| ทำเอง | 5,000 – 6,000 บาท (ค่าธรรมเนียมเท่านั้น) |
| ใช้บริการสำนักงานบัญชี | 10,000 – 15,000 บาท (ครบวงจร) |
สิ่งที่ต้องทำทันทีหลังจดทะเบียนบริษัทเสร็จ
หลังจากจดทะเบียนบริษัทเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการทันที ดังนี้
1. เปิดบัญชีธนาคารบริษัท
- นำเอกสารการจดทะเบียนไปเปิดบัญชีในชื่อบริษัท
- ไม่ควรใช้บัญชีส่วนตัว เพื่อไม่ให้รายรับ-รายจ่ายปะปน
เอกสารที่ต้องนำไป:
- หนังสือรับรองบริษัท (บอจ.2, บอจ.3, บอจ.5)
- ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน
- บัตรประชาชนกรรมการผู้มีอำนาจ
2. ยื่นขอรหัสผู้เสียภาษีกับกรมสรรพากร (e-Filing)
- สมัครรหัสผู้เสียภาษีอากรเพื่อยื่นภาษีออนไลน์
- จำเป็นสำหรับการยื่นแบบภาษีทุกประเภท
3. จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) (ถ้าจำเป็น)
- หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (หรือ 150,000 บาท/เดือน)
- ต้องยื่นขอจดทะเบียน VAT (ภ.พ.01) ภายใน 30 วัน หลังมีรายได้เกินเกณฑ์
- หากยอดขายยังไม่ถึงเกณฑ์ สามารถเลือกจดล่วงหน้าได้ตามความสมัครใจ
4. ขึ้นทะเบียนนายจ้างกับประกันสังคม (ถ้ามีพนักงาน)
- หากมีลูกจ้าง 1 คนขึ้นไป ต้องขึ้นทะเบียนนายจ้าง
- ยื่นเอกสารภายใน 30 วัน หลังจ้างพนักงานคนแรก
5. จัดประชุมผู้ถือหุ้นครั้งแรก (ภายใน 6 เดือน)
- ต้องจัดประชุมสามัญครั้งแรกภายใน 6 เดือน นับจากวันจดทะเบียน
- หลังจากนั้นต้องจัดประชุมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ภายใน 4 เดือนหลังปิดงบ
- ทำรายงานการประชุมและนำส่ง บอจ.5 ภายใน 14 วัน หลังประชุม
6. จัดเตรียมระบบบัญชีและเอกสารทางการเงิน
เอกสารที่ต้องจัดทำ:
- ใบกำกับภาษี / ใบเสร็จรับเงิน
- ใบแจ้งหนี้
- หนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย
- สมุดบัญชี
- เปิดระบบ DBD e-Filing สำหรับยื่นงบการเงิน
7. Timeline ภาษีประจำปีที่ต้องจำ (สำหรับบริษัทปิดงบ 31 ธ.ค.)
| กำหนดเวลา | รายการที่ต้องดำเนินการ |
|---|---|
| 28 กุมภาพันธ์ / 8 มีนาคม | ยื่น ภ.ง.ด.1ก (สรุปเงินเดือนพนักงานประจำปี) |
| 31 มีนาคม / 8 เมษายน | ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90/91) |
| 30 เมษายน | จัดประชุมผู้ถือหุ้น |
| 14 พฤษภาคม | ยื่น บอจ.5 (ภายใน 14 วันหลังประชุม) |
| 30 พฤษภาคม / 7 มิถุนายน | ยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50) |
| 31 พฤษภาคม | ยื่นงบการเงินกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า |
8. ยื่นภาษีรายเดือน (ถ้าจด VAT)
- ภ.พ.30 ภาษีมูลค่าเพิ่ม: ยื่นภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
- ต้องยื่นทุกเดือน แม้ไม่มีรายได้
9. เอกสารสำคัญที่ต้องแสดงและเปิดเผย
- ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัท
- เอกสารการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) – ถ้ามี
สรุป
การจดทะเบียนบริษัทเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามขั้นตอนหลังจดทะเบียนอย่างครบถ้วนและทันเวลาจะช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น หลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายและภาษี และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทในระยะยาว
หากต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม สามารถติดต่อสำนักงานบัญชีของเราได้ทันที เรายินดีให้คำแนะนำและช่วยดำเนินการจดทะเบียนให้คุณอย่างครบวงจร
